บทเรียนจากเพลง Used to Be Young ของ Miley Cyrus ที่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องขอโทษอดีต

เพลง Used to Be Young ของ Miley Cyrus ถูกปล่อยในปี 2023 ในช่วงเวลาที่เธอไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองกับใครอีกแล้ว มันไม่ใช่เพลงคัมแบ็ก ไม่ใช่เพลงล้างภาพลักษณ์ และไม่ใช่เพลงขอโทษสังคม

แต่เป็นเพลงที่ศิลปินคนหนึ่งเลือกจะพูดความจริงกับโลกแบบไม่ต่อรอง

หลังจากถูกจับจ้องและตัดสินมาตั้งแต่วัยเด็ก ยุค Disney จนถึงช่วงที่เธอถูกมองว่าแรง หลุด และทำลายตัวเอง

บริบทของเพลงนี้สำคัญมาก เพราะมันเกิดขึ้นหลังจาก Miley ผ่านทั้งชื่อเสียง ความล้มเหลว การถูกสื่อรุมกินโต๊ะ และการเติบโตแบบไม่มีใครปล่อยให้พลาดง่าย ๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่การย้อนอดีตด้วยความเสียใจ แต่เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอเคยเป็นมีเหตุผลของมันในเวลานั้น และเธอไม่ยอมให้ใครลากเธอกลับไปลงโทษเด็กคนนั้นซ้ำ ๆ อีก

ฟังเพลงเต็ม

ใจกลางของเพลงไม่ได้อยู่ที่การปกป้องตัวเอง แต่อยู่ที่การยอมรับความจริงว่า มนุษย์ทุกคนเติบโตจากประสบการณ์ ไม่ใช่จากความสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเกิดมาแล้วรู้ทุกอย่าง และไม่มีใครตัดสินใจถูกต้องได้ตลอด โดยเฉพาะในวัยที่วุฒิภาวะยังให้เราได้แค่นั้น ประสบการณ์ยังมีเท่าที่มันมี การทำอะไรที่มันบ้าบิ่น แล้วโตขึ้นมาพอจะรู้ว่าบางอย่างมันผิด ไม่ใช่หลักฐานของความล้มเหลว แต่มันคือกลไกพื้นฐานของการเรียนรู้

สิ่งที่สังคมชอบทำคือเอาความคิดของ “วันนี้” ไปตัดสินการกระทำของ “วันนั้น” แล้วบังคับให้เรารู้สึกผิดกับอดีต ทั้งที่ตอนนั้นเราทำดีที่สุดแล้วในเวอร์ชันของเวลานั้น เราไม่ได้โง่ ไม่ได้เลว และไม่ได้ตั้งใจทำลายใคร เราแค่ยังไม่รู้ และการไม่รู้ไม่ควรถูกลงโทษไปตลอดชีวิต

ประเด็นสำคัญที่เพลงนี้โยนใส่หน้าคนฟังคือคำถามง่าย ๆ แต่แรงมาก เราจำเป็นต้องขอโทษอดีตจริงหรือ หรือเราควรยอมรับว่าตอนนั้นเราเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่กำลังแสวงหาประสบการณ์การเรียนรู้ Miley ไม่ได้บอกว่าอดีตของเธอถูกต้อง แต่เธอปฏิเสธที่จะเกลียดตัวเองในวันที่ยังไม่รู้ และนั่นคือท่าทีของคนที่โตจริง

เราทุกคนเคยผ่านวัยเด็ก เคยผ่านช่วงที่พัง เคยผ่านการลองผิดลองถูก และถ้าวันนี้เราโตพอจะมองย้อนกลับไปเห็นข้อผิดพลาด นั่นไม่ใช่เหตุผลให้เรารู้สึกผิด แต่มันคือหลักฐานว่าเราเติบโตแล้ว สิ่งที่ควรโฟกัสไม่ใช่การขอโทษอดีตซ้ำ ๆ แต่คือการรับผิดชอบปัจจุบัน และค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างซื่อสัตย์กับตัวเอง

ถ้าวันหนึ่ง ในฐานะผู้ใหญ่ เราหันกลับไปมองเด็กคนนั้นที่เราเคยเป็น เด็กที่เคยพัง เคยหลง และเคยบ้าบอ เชื่อเถอะว่าแทนที่จะด่า เราจะอยากปรบมือให้เขามากกว่า เพราะถ้าไม่มีเด็กคนนั้น ไม่มีความพลาด ไม่มีบทเรียน เราก็คงไม่มีวันมายืนอยู่ตรงนี้ได้

Miley Cyrus ไม่ได้ขอให้ใครมารักเวอร์ชันเก่าของเธอ เธอแค่ขอให้เข้าใจ และบางที บทเรียนที่แรงที่สุดจากเพลงนี้ก็คือ เราเองก็ควรใจดีกับตัวเองมากพอที่จะไม่เกลียดอดีตที่ทำให้เราเติบโตมาเป็นเราในวันนี้

Aam Anusorn Soisa-ngim

Aam Anusorn is an independent filmmaker and storyteller with a decade of experience in the industry. As the founder and CEO of Commetive By Aam, he has directed and produced several acclaimed films and series, including the popular "Till The World Ends" and "#2moons2." Known for his creative vision and determination, Aam prefers crafting original stories that push the boundaries of traditional genres, particularly in the BL and LGBTQ+ spaces. Despite the challenges and pressures of working in a competitive field, Aam’s passion for storytelling drives him to explore new ideas and bring unique narratives to life. His work has garnered recognition and support from prestigious platforms, including the Tokyo Gap Financial Market. Aam continues to inspire audiences with his innovative approach to filmmaking, always staying true to his belief in the power of original, heartfelt stories.

https://Commetivebyaam.com
Next
Next

วิเคราะห์ผู้สมัครนายกฯ 2569 ใครปัง ใครเด่นด้านไหน? วิเคราะห์กัน