หาดใหญ่น้ำท่วม แต่รัฐบาลกับพรรคประชาชนจมน้ำ จมแบบหายไปเลย
ในเหตุการณ์อุทกภัยที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รอบนี้ มันชัดมากว่าระบบการจัดการภัยพิบัติของรัฐ ตั้งแต่ส่วนกลางลงมาจนถึงข้าราชการท้องถิ่น ล้มเหลวอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่น้ำมาเยอะ แต่วิธีคิด วิธีสั่งการ และวิธีสื่อสารกับประชาชน “พังพินาศ” ไปพร้อมกัน
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ภัยธรรมชาติห้ามไม่ได้ ฝนตกหนักผิดปกติ ระดับน้ำเกินคาด เป็นเรื่องที่หลายประเทศเจอเหมือนกัน ปีนี้ภาคใต้เจอฝนสะสมระดับประวัติการณ์ 300 ปีเพิ่งจะมีหนักสุดก็ปีนี้ น้ำท่วมลึกเป็นเมตร บ้านเรือนเสียหาย ผู้เสียชีวิตตามรายงานคือ 7 คน ซึ่งได้รับการยืนยันมาแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นหลัก 100 หลัก 1000 ผู้ได้รับผลกระทบหลายล้านคน รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินในสงขลา และเอาเรือหลวงจักรีนฤเบศรลงไปเป็นฐานบัญชาการเคลื่อนที่สำหรับภารกิจช่วยเหลือ
เรื่องราวดังกล่าวเราเข้าใจ “ธรรมชาติ” แหละ จะให้ทำยังไงในเมื่อฝนมันหนักขนาดนั้นถูกไหม? แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือ “การบริหารจัดการ” ที่ไม่ทันเกม ทั้งที่ประเทศไทยผ่านน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ผ่านสึนามิ 2547 ผ่านเหตุการณ์สารพัดมาแล้ว แต่กลับยังปล่อยให้คนต้องหนีขึ้นหลังคา รอเรือ รอเฮลิคอปเตอร์ ทั้งที่เสียงเตือนเรื่องระบบบริหารน้ำและเตือนภัยดังมาเป็นสิบปีแล้ว 😫
1. ความมั่นใจเกินเหตุของผู้ว่าฯ และฝ่ายปกครองท้องถิ่น
คลิปที่ออกมาก่อนน้ำหลากซัดหาดใหญ่ ที่ฝ่ายปกครองออกมายืนยันกับประชาชนว่า “น้ำไม่ท่วมแน่นอน ไม่ต้องกังวล” แล้วไม่ถึงสองวัน ภาพที่เห็นคือถนนกลายเป็นคลอง โรงพยาบาลต้องอพยพคนไข้ ขนคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ มันไม่ต่างอะไรกับตบหน้าประชาชน ปล่อยข้อความเท็จ และความประมาทที่รับไม่ได้
การสื่อสารแบบ “มั่นใจล้วน ๆ” ทั้งทั้งที่รู้กันอยู่ว่าเหตุการณ์ธรรมชาติมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ การกล่าวอ้างโดยไม่มีฐานข้อมูล ไม่มีการเผื่อ worst case มันคือความประมาทโดยเดิมพันด้วยชีวิตคนเป็นล้าน นอกจากความพังหรือปากพล่อย ยังหมายถึงความไร้ความรับผิดชอบ
📍เราไม่ได้ต้องการให้ผู้ว่าฯ หรือหน่วยงานท้องถิ่นออกมาขู่ให้คนกลัวจนสติแตก แต่สิ่งที่ควรทำอย่างน้อยคือ
• บอกความเสี่ยงตามข้อมูลจริง (รวมทั้งกรณีที่เลวร้ายที่สุด)
• เตรียมจุดอพยพและศูนย์พักพิงให้ชัด
• วางแผนเส้นทางเข้า–ออกให้ทั้งเรือ กู้ภัย และรถพยาบาล
แต่สิ่งที่เห็นคือ “คำพูดให้ความมั่นใจ” แล้วก็หายไปพร้อมสัญญาณโทรศัพท์กับไฟฟ้า
…
2. นายกฯ อนุทิน: เราเข้าใจข้อจำกัด แต่ไม่เข้าใจ performance
ไม่ได้มีใครคาดหวังว่านายกฯ จะรู้จักทุกซอยของหาดใหญ่ จะรู้เลยว่าต้องสั่งให้ใครไปตำบลไหน จุดไหนท่วมเท่าไหร่ในนาทีแรกของภัยพิบัติ นั่นไม่แฟร์กับผู้นำประเทศเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ประชาชนมีสิทธิ์คาดหวังคือ
• ระบบบัญชาการที่ชัดเจน
• คำสั่งที่ “ทันเวลา”
• การสื่อสารที่เห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่ภาพลักษณ์ทางการเมือง
ในขณะที่คนในพื้นที่ยังร้องขอเรือ อาหาร ยา นายกใช้เวลาช่วงแรกไปกับภาพโบกมือทักทายสวัสดีผู้เดือดร้อน ไปออกงานกาล่า แจกถุงยังชีพในศูนย์ที่จัดไว้สวยงาม ในขณะที่ด้านนอกยังมีคนติดอยู่ตามบ้าน ไฟดับ โทรศัพท์ใกล้หมดแบต รอการช่วยเหลือ
ภาพนายกฯ เดินลุยน้ำนิดหน่อย ยิ้มให้กล้อง จูงมือคนใกล้ชิดไปยืนดูน้ำ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “การจัดการแบบโชว์มากกว่าทำ” ซึ่งยิ่งตอกย้ำความโกรธของคนที่กำลังยืนแช่น้ำอยู่ในบ้านตัวเอง
…
3. แต่งตั้ง “คนไม่รู้พื้นที่” มาคุมศูนย์น้ำ: การตัดสินใจที่ผิดตั้งแต่ต้นทาง
การแต่งตั้งให้ รมต. ที่ไม่ได้รู้จักภูมิประเทศหาดใหญ่ในระดับลึก มาคุมศูนย์บริหารจัดการน้ำในภาวะวิกฤติ เป็นการตัดสินใจที่น่าเคลือบแคลงตั้งแต่ต้น ในเชิงโครงสร้าง นายกฯ แต่งตั้ง พล.อ.ธรรมนัสให้เป็นหัวหน้าศูนย์บริหารจัดการน้ำช่วงภัยพิบัติ และให้มีบทบาทนำในภารกิจช่วยเหลือ
แต่สิ่งที่คนเห็นจากคลิปและรายงานข่าวกลับเป็นภาพของผู้นำที่ใช้เวลาไปกับ
• ตะคอก ถามซ้ำ ๆ ด่าเจ้าหน้าที่ดั่งคนไร้สติ
• แสดงอำนาจใส่เจ้าหน้าที่และจิตอาสาแบบไร้เหตุผล
• โยนความผิด กล่าวโทษอาสาสมัคร แทนที่จะตั้งระบบขึ้นมาให้มันทำงาน
ถามตรง ๆ แบบที่ก็คงคิดเหมือนเรา:
ในสภาวะภัยพิบัติ คนระดับนั้นควรทำหน้าที่ “ด่า” หรือควรทำหน้าที่ “จัดการ”?
หน้าที่ของรัฐไม่ใช่ลงไปไล่ตำหนิโมโหใส่คนที่กำลังทำงานฟรีไม่รับเงินเดือน แต่คือการเอาทรัพยากรที่ตัวเองมี เฮลิคอปเตอร์ เรือ ระบบโลจิสติกส์ งบประมาณ ไปวางให้ถูกที่ถูกเวลา แล้วปล่อยให้คนในพื้นที่ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่
…
4. ศูนย์พักพิงที่ประชาชนต้องตั้งเอง: ภาพที่น่าอับอายของรัฐ
ในทุกตำราการจัดการภัยพิบัติ “ศูนย์พักพิง” และ “ศูนย์ประสานงานกลาง” คือสิ่งที่รัฐต้องทำให้ชัดที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่ คือหลายจุดกลายเป็นศูนย์พักพิงโดยที่ชาวบ้านต้องจัดการกันเอง ช่วยกันบอก ช่วยกันแชร์ปากต่อปากว่าตรงไหนหลบได้ ตรงไหนพอมีข้าวมีน้ำ
ในขณะที่รัฐควรเป็น “เจ้าบ้านของวิกฤติ” แต่ภาพที่เห็นกลับกลายเป็นประชาชนต้องเล่นบทเจ้าบ้าน ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้ประสบภัยเหมือนกัน
…
5. เคสชาวหาดใหญ่ ซอย 8: ความโกรธที่มาจากความหิวและความรู้สึกถูกทอดทิ้ง
พฤติกรรมของชาวบ้านบางกลุ่มที่ไล่ด่า หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ช่วย มองจากมุมของคนอยากช่วย มันน่าเสียใจมาก คนตั้งใจมาดี กลับโดนระบายความโกรธใส่
แต่อีกมุมหนึ่ง ถ้าเราวางตัวเองลงไปในน้ำระดับอก อยู่ในสภาพนั้นมาสี่ห้าวัน เห็นแต่เรือหน่วยงานและสื่อมวลชนแล่นไปมา เต็มไปด้วยคนถือกล้อง แต่ไม่มีถุงข้าวสักถุง ไม่มีน้ำดื่มสักขวด ไม่มีที่ว่างบนเรือจะพาใครออกไปจากบ้านที่กำลังจม จาก “ความน้อยใจ” มันก็กลายเป็น “ความโกรธ” ได้ง่ายมาก พฤติกรรมที่ออกมามันไม่ได้ถูก แต่มัน “เข้าใจได้” และคือสัญญาณเตือนว่าการสื่อสารและการช่วยเหลือของรัฐ “ไม่ไปถึงคน” จริง ๆ
🙏🏻 อย่าทำให้ผู้ประสบภัยกลายเป็น “พร็อพประกอบฉาก” ให้ภาพข่าวอีกต่อไป
…
6. พรรคประชาชน: ด่ารัฐบาลชุดนี้ แต่เป็นคนร่วมพามาตั้งรัฐบาลเอง
พรรคประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวตั้งแต่วิกฤตโควิดปี 2020 ว่าบริหารจัดการห่วยแตกอย่างไร้ความสามารถ ตรงนี้เราไม่เถียง เพราะผลงานหลายอย่างก็ชวนให้พูดแบบนั้นจริง ๆ
แต่คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
ถ้ารู้ว่าห่วยตั้งแต่ปี 2020 แล้ว “ทำไมยังร่วมดีลทางการเมืองจนทำให้เขาได้เป็นรัฐบาลฯ”?
ถ้าพรรคประชาชนเชื่อจริง ๆ ว่ารัฐบาลชุดนี้คือหายนะ ทำไมยืนเคียงข้างพรรคที่ตัวเองเคยด่ามาตลอด แล้วปล่อยให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลไปตามกติกาตั้งแต่แรก ตรรกะมันผิดไปหมดเอา 14,000,000 เสียงไปให้ 1,000,000 เสียงโดยมองข้ามคน 10,000,000 เสียงไป ทำไมถึงเลือกแล่วมาด่า ณ วันนี้ ที่สุดของการย้อนแย้งในตัวเอง และทำให้คำวิจารณ์จำนวนมากกลายเป็นเพียง “การล้างมือทางการเมือง” ไม่ใช่ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองช่วยสร้าง ช่วยกันจัดตั้ง ช่วยกันโหวต
…
7. เทียบกับบทเรียนจากสึนามิ 2547 และน้ำท่วมใหญ่ 2554
เราไม่ได้โรแมนติไซส์รัฐบาลยุคไหนเป็นพิเศษ ทุกยุคมีทั้งส่วนดีและส่วนห่วย แต่ถ้าเทียบกันในมุม “การจัดการภัยพิบัติ” อย่างน้อยอดีตรัฐบาลก็แสดงให้เห็นภาพของการตั้งศูนย์บัญชาการที่เป็นรูปธรรมตั้งแต่วันแรก ๆ
• ตอนสึนามิ 2547 รัฐบาลตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ภูเก็ตอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเกิดเหตุ เพื่อรวมการสั่งการและการช่วยเหลือจากทุกหน่วยงาน
• ตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รัฐบาลยุคนั้นตั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำท่วมและศูนย์บรรเทาสาธารณภัย 24 ชั่วโมง มีการจัดตั้ง Flood Relief Operations Center (FROC) ที่ดอนเมืองเพื่อเป็นฐานกลางในการประสานความช่วยเหลือ แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องความผิดพลาด แต่ก็ถือว่ามี “โครงสร้างบัญชาการ” ที่มองเห็นได้ชัด และผู้นำประเทศตอนนั้นก็มีความเข้มแข็งมากๆ
😫 เมื่อเทียบกับตอนนี้ที่ประชาชนยังสับสนว่า สุดท้ายแล้วใครคือ “แม่ทัพใหญ่” ที่รับผิดชอบหาดใหญ่กันแน่ ภาพมันเลยดูเละเทะกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งในแง่การเมืองและในแง่ความเชื่อมั่น
…
8. ธรรมนัสตะโกนถาม “ข้าวอยู่ไหน” แต่ลืมไปว่าหน้าที่จัดหาคือรัฐ
คำด่าจากร้องนายกที่ดังลั่นออกสื่อว่า “ทำไมไม่เอาอาหารไปให้ผู้ประสบภัย ทำไมคนไม่มีข้าวกิน” ฟังเผิน ๆ เหมือนเป็นเสียงแทนประชาชน แต่ถ้าคิดดี ๆ มันชวนให้ถามกลับว่า
“…แล้วคนที่มีอำนาจเต็มมือ มีเครื่องบิน มีเฮลิคอปเตอร์ มีงบประมาณ มีหน่วยงาน ภายใต้การสั่งการของตัวเอง “ทำอะไรอยู่ก่อนหน้านั้น””?
หน้าที่จัดหาและกระจายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งจำเป็นพื้นฐานให้ผู้ประสบภัยเป็นของรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่ของมูลนิธิ จิตอาสา หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพียงลำพัง การลงไปด่าคนที่กำลังทำเต็มที่โดยแทบไม่ได้อะไรตอบแทน ดูเหมือนการโยนความผิด กลายเป็นภาพของ
“รัฐที่โยนภาระลงล่าง แล้วขึ้นไปยืนด่าบนเรือ”
9. สื่อมวลชน: เลือกข้างได้ แต่ช่วยเลือก “ความเป็นมนุษย์” ด้วย
เราเข้าใจว่าสื่อมีสิทธิ์เลือกมุมมองทางการเมืองของตัวเอง จะฝั่งไหนก็เลือกได้ แต่อย่างน้อยตอนเกิดภัยพิบัติระดับนี้ ขอให้กลับมาที่แกนกลางนิดหนึ่งว่า
• ผู้ประสบภัยไม่ใช่ตัวประกอบให้ข่าวของดูดราม่า
• คลิปไวรัลที่เอาแต่ประณามชาวบ้าน โดยไม่เล่าบริบทของความหิว ความหนาว ความกลัว เป็นการซ้ำเติมคนที่ไม่มีไมค์ ไม่มีกล้อง ไม่มีพื้นที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง
ในประเทศที่ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย เราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกเรื่องก็ได้ แต่เวลาเกิดภัยพิบัติใหญ่ ๆ ความเป็นมนุษย์และการยื่นมือช่วยกันควรจะมาก่อนการปั่นกระแส เพื่อเอาคลิปไปออกรายการช่วงไพรม์ไทม์
…
10. รัฐบาลที่ไร้สมรรถนะ + โฆษกที่ไร้วุฒิภาวะ = สูตรสำเร็จของความพัง
สิ่งที่ตอกย้ำภาพรัฐบาลไร้สมรรถนะ คือการแถลงข่าวที่เต็มไปด้วยการประชด ปัดคำถาม และโยนประเด็นกลับไปปี 2554 เหมือนจะบอกว่า “ตอนนั้นก็แย่เหมือนกัน ทำไมไม่ไปด่ารัฐบาลเก่า”
คำตอบแบบนี้ไม่ได้สะท้อนความมั่นใจหรือความรับผิดชอบ แต่มันสะท้อนว่า
‼️ ไม่เข้าใจหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลเลย ว่าคือการให้ข้อมูลและสร้างความมั่นใจในยามวิกฤติ
‼️ มองประชาชนเป็นคู่แข่ง ไม่ใช่เจ้าของประเทศที่ต้องตอบคำถามให้เขา
คนที่ตอบคำถามสาธารณะด้วยท่าทีประชดประชันแบบวัยรุ่นกำลังหัวเสีย ไม่ควรยืนอยู่บนโพเดียมตัวแทนรัฐบาลด้วยซ้ำ ถ้าจะเล่นท่าทีแบบนี้ ไปไลฟ์ขายของ Shopee หรือทำ TikTok ส่วนตัวอาจจะเหมาะกว่า
🗣️ เมื่อย้อนกลับไปดูการจัดการน้ำท่วมในยุคนายกยิ่งลักษณ์ ภาพของการสื่อสารก็ไม่ได้สวยหรูอะไร ยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ถูกวิจารณ์ว่าให้ข้อมูลสับสน แต่ต่อให้ผิดพลาดก็ยังพอเห็นโครงสร้าง การตั้งศูนย์ การยอมรับว่ามีปัญหา และพยายามปรับระบบหลังวิกฤติจบลง วันนี้สิ่งที่เราเห็นคือรัฐบาลที่ยังปฏิเสธปัญหา ทั้งที่ภาพจากโดรน จากสื่อ จากโซเชียล กำลังกรีดให้เห็นอยู่ต่อหน้า
…
เราเข้าใจทุกฝ่าย แต่ถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจต้องส่องกระจกจริง ๆ เราขอพูดแบบตรงไปตรงมาเลยว่า
เราเข้าใจผู้ประสบภัย
เราเข้าใจเจ้าหน้าที่ จิตอาสา
เราเข้าใจแม้กระทั่งความลนลานของรัฐบาลในนาทีแรก ๆ
👉🏼 แต่สิ่งที่เรา “ไม่เข้าใจ” คือ
😔 ทำไมนายกฯ ยังกล้าพาเมียลงไปดูพื้นที่ แบบที่ดูยังไงก็ออกไปในทาง “ทัวร์ดูน้ำท่วม” มากกว่าจะเป็นผู้นำภาวะวิกฤติ
😔 ทำไมรัฐยังกล้าใช้เวลาเถียงเรื่องเปรียบเทียบกับน้ำท่วมปี 2554 มากกว่าจะยอมรับว่าตัวเองบริหารจัดการผิดพลาดในวันนี้
😔 ทำไมพรรคการเมืองที่เลือกตั้งกันเข้ามาแล้วโหวตร่วมกันตั้งรัฐบาลชุดนี้ ลืมว่าตัวเองก็มีส่วนพามาถึงจุดนี้เช่นกัน
สุดท้ายแล้ว คนไทยหลายล้านคนไม่ได้เลือกนายกฯ คนนี้ด้วยซ้ำ แต่ต้องมานั่งจ่ายราคากับความเน่าเฟะของ “ดีลการเมือง” ที่ทำให้เราได้ผู้นำและรัฐบาลที่ไร้ทั้งสมอง ระบบ และความยุติธรรมทางสังคมในวันที่ประเทศต้องการสติและสปิริตของการเป็น “ผู้นำ” มากที่สุด
ถ้าจะเริ่มต้นแก้ไขอะไรสักอย่างในวิกฤติครั้งนี้ สิ่งแรกไม่ใช่การสร้างคอนเทนต์ PR เพิ่ม แต่คือการยอมรับตรง ๆ ว่า
• เราประเมินต่ำไป
• เราทำผิดพลาดจริง
• และเราพร้อมจะปรับระบบ ตั้งศูนย์บัญชาการให้ชัด กางข้อมูลให้โปร่ง และฟังเสียงคนที่ยืนอยู่ในน้ำมากกว่าคนที่ยืนอยู่หน้าไมค์
ถ้ารัฐบาลยังทำไม่ได้แม้แต่สามข้อนี้ ลองคิดดูเองเถอะว่า ประเทศที่ผู้นำยังไม่กล้ายอมรับความจริง จะพาประชาชน “รอด” จากวิกฤติแบบนี้ได้ยังไง… 😒
อาม อนุสรณ์
#น้ำท่วมหาดใหญ่ #นายกอนุทิน #AamAnusorn