เรียน สื่อมวลชน (และนักวิชาการ), ประเทศพินาศเมื่อไหร่...ก็อย่าลืมเอาเงินไปใช้ในนรกด้วยนะ
ขอปรบมือให้ดังกว่าเดิมกับความสำเร็จอันงดงามของละครเรื่อง "ลุงพล" ที่พวกท่านช่วยกันประเคนบทพระเอกให้ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม
แต่ดูเหมือนพรสวรรค์ในการ "ปั่นกระแส" จะไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะเมื่อถึงคราว "ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา" พวกท่านบางคนก็พร้อมสวมวิญญาณเป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่าทึ่ง จนคนดูทางบ้านต้องขยี้ตา เปิดเสียงให้ดังว่านี่กำลังดูสื่อไทยหรือสื่อของสมเด็จฯ ฮุน เซน กันแน่
ไม่แน่ใจว่ากาแฟในห้องแอร์มันอร่อยมากใช่ไหม? บรรดานักวิชาการและสื่อ "ผู้ทรงเกียรติ" (😒) วันวันนั่งจิบกาแฟอยู่แต่ในสตูดิโอ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารไทยและรัฐบาลอย่างเมามัน การประณามประเทศตัวเองออกสื่อทุกวัน คงทำให้รู้สึกฉลาดและมี "อุดมการณ์" สูงส่งกว่าคนอื่นสินะ (🫣)
โอเค โอเค เรามาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า เรื่องจริงที่เด็กป.4 เห็นหรือได้ยินก็รู้เรื่อง หยุดอ้างเลยว่าทำไปเพื่ออุดมการณ์…
อุดมการณ์ Kiss My A**
เพราะเบื้องหลังความ ‘หิวแสง’ ของพวกคุณมันคือเรื่องเงินล้วนๆ จริงมั้ย? คุณรู้ไหมว่าแค่ปีเดียว เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลในไทยมันสูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท ยิ่งดราม่า ยิ่งขัดแย้ง ยิ่งเรียกยอดวิวได้มากเท่าไหร่ ส่วนแบ่งเค้กก้อนนี้ก็ยิ่งไหลเข้ากระเป๋าพวกคุณมากขึ้นเท่านั้น
อุดมการณ์อะไรกัน? มันคือ "ธุรกิจบนความขัดแย้ง" ชัดๆ
เคยละอายใจกันบ้างไหม? ในขณะที่ทหารเอาชีวิตเข้าแลก นักการเมืองเร่งแก้ปัญหาเพื่อต้องการสันติ ชาวบ้านต้องวิ่งหนีตายออกจากบ้าน พวกคุณกลับนั่งนับเงินค่าโฆษณาจากยอดวิวที่พุ่งกระฉูด แล้วพ่นวาทกรรมสวยหรู ยุยงให้คนเกลียดชังกันเอง
การยุยงสงครามมันให้ผลดีอะไรกับพวกคุณเหรอ?
อ๋อ...มันให้ยอด Engagement ไง
ยิ่งคนทะเลาะกันในคอมเมนต์มากเท่าไหร่ ยิ่งมีคนแชร์ไปด่ากันต่อมากเท่าไหร่ Algorithm ก็ยิ่งชอบ ยิ่งดันโพสต์ให้คนเห็นเยอะขึ้น แล้วเงินก็ยิ่งเข้ากระเป๋ามากขึ้น นี่เราอยู่ในยุคที่ความมั่นคงของชาติถูกตีค่าเป็น CPM (Cost Per Mille) ไปแล้วหรือ?
แต่คนที่ซวยที่สุดจาก "ธุรกิจ" ของพวกคุณ ไม่ใช่รัฐบาลที่พวกคุณเกลียด แต่คือ "ชาวบ้านตาดำๆ" ที่บ้านแตกสาแหรกขาด คือทหารที่ต้องสละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินที่พวกคุณใช้เหยียบยืนด่าทอประเทศอยู่ทุกวัน พวกเขาไม่มีโอกาสได้หนีเข้าห้องแอร์เย็นๆ เหมือนพวกคุณหรอกนะ
พวกคุณเสพติด "การหาคนผิด" จนลืม "การหาทางออก" ลืมไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือความสงบสุข ไม่ใช่การเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ตัวเอง
ในฐานะคนในวงการสื่อ ขอบอกเลยว่าความน่าสมเพชของสื่อไทยนี่แหละ คือเชื้อร้ายที่จะกัดกินประเทศจนพินาศ เราสนับสนุนเสรีภาพ แต่เสรีภาพที่ไร้ซึ่ง "สำนึก" และถูกขับเคลื่อนด้วย "ตัวเลข" มันคือหายนะ
พวกคุณอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมีคนดู มีประเทศให้อาศัย จงสำเหนียกไว้ให้มากๆ เพราะถ้าวันไหนไม่มีประเทศให้อยู่แล้ว...
ถึงวันนั้น เงินหมื่นล้านที่พวกคุณหามาได้ ก็เอาไปใช้ในนรกแล้วกันนะ
✅ FAQ
Q1: ทำไมสื่อไทยถูกวิจารณ์ว่า “หิวแสง”?
A1: เพราะสื่อบางส่วนเลือกเน้นดราม่าและความขัดแย้งเพื่อเรียกยอดวิวและ Engagement แทนการนำเสนอข้อเท็จจริง ส่งผลให้จรรยาบรรณสื่อถูกลดความสำคัญลง
Q2: รายได้หลักของสื่อดิจิทัลในไทยมาจากอะไร?
A2: รายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์ โดยปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 33,859 ล้านบาท และคาดว่าจะพุ่งเกือบ 39,000 ล้านบาทในปี 2568
Q3: ทำไมการนำเสนอข่าวดราม่าถึงสร้างรายได้มหาศาล?
A3: ยิ่งเนื้อหาขัดแย้งหรือดราม่ามาก ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ชมกดแชร์ แสดงความคิดเห็น และถกเถียง ทำให้ระบบ Algorithm ดันข่าวขึ้นไปอยู่บนฟีด ส่งผลให้สื่อได้ค่าโฆษณามากขึ้น
Q4: ใครคือผู้เสียหายที่แท้จริงจากสื่อไร้จรรยาบรรณ?
A4: ผู้เสียหายไม่ใช่เพียงรัฐบาล แต่คือชาวบ้านและทหารที่ต้องเสี่ยงชีวิตหรือได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่สื่อกลับได้ผลประโยชน์ทางการเงิน
Q5: ทางออกคืออะไร?
A5: ผู้บริโภคต้องมีวิจารณญาณ เลือกสนับสนุนสื่อที่มีคุณภาพ ปฏิเสธการแชร์ข่าวที่ไร้จรรยาบรรณ และเรียกร้องความรับผิดชอบจากองค์กรสื่อ