คอนเสิร์ต: ศิลปะที่ใช้ตาดู ไม่ใช่แค่หูฟัง และทำไม ‘ลิปซิงค์’ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป

เคยไหมครับ? เวลาไปดูคอนเสิร์ตแล้วรู้สึกว่า “โห มันสุดยอดกว่าฟังในแผ่นอีก!” ทั้งๆ ที่บางทีเสียงร้องอาจจะไม่ได้เป๊ะทุกโน้ต หรือบางโชว์ศิลปินอาจจะไม่ได้ร้องสดด้วยซ้ำ...

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึก “ว้าว” จนขนลุกขนาดนั้น?

หลายคนอาจจะคิดว่าหัวใจของคอนเสิร์ตคือการ “ร้องสด” แต่ในฐานะคนเคยกำกับโชว์ ผมอยากจะชวนมาคุยกันแบบเปิดอกว่า จริงๆ แล้วคอนเสิร์ตมันคือศิลปะที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่กว่านั้นเยอะ มันคือการสร้าง “ประสบการณ์ร่วม” ที่ทั้งภาพ เสียง แสง อารมณ์ และพลังของคนดูถูกหลอมรวมกันให้กลายเป็นช่วงเวลาที่โคตรพิเศษ

วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันตั้งแต่เบื้องหน้ายันเบื้องหลัง ว่าทำไมการแสดงสดถึงมีอะไรมากกว่าแค่เสียงร้อง และทำไมการ "ลิปซิงค์" ที่หลายคนมองว่าเป็นการโกง จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นเรื่องที่โคตรจะปกติและจำเป็นสำหรับโชว์ในยุคนี้

ก่อนอื่นเลย "คอนเสิร์ต" คืออะไรกันแน่?

ลืมภาพศิลปินยืนนิ่งๆ ร้องเพลงไปก่อนนะ นั่นอาจจะเป็นคอนเสิร์ตยุคเก่า แต่คอนเสิร์ตในปัจจุบันมันคือ “การแสดง (Performance)” เต็มรูปแบบครับ มันเหมือนเราไปดูละครเวทีหรือดูหนังฟอร์มยักษ์นั่นแหละ คุณไม่ได้จ่ายเงินเพื่อไป "ฟัง" เพลงอย่างเดียว แต่คุณจ่ายเพื่อไป "ดู" โชว์ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี

องค์ประกอบของมันมีตั้งแต่:

* เวทีและฉาก (Stage Design): แสง สี เสียง พลุไฟ เอฟเฟกต์ตระการตาที่ทำให้เราหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก

* การออกแบบท่าเต้น (Choreography): การเคลื่อนไหวที่ทรงพลังและพร้อมเพรียง มันคือศิลปะที่ใช้ร่างกายเล่าเรื่อง

* เสื้อผ้าหน้าผม (Costume & Styling): ที่บ่งบอกตัวตนและคอนเซ็ปต์ของโชว์

* และที่สำคัญที่สุดคือ “พลังงาน” จากตัวศิลปินที่ต้องสื่อสารกับคนดูนับหมื่นนับแสน

คอนเสิร์ตคือศิลปะที่ต้องใช้ตาดู ใช้หูฟัง และใช้ใจสัมผัสไปพร้อมๆ กัน มันคือการเสพสุนทรียภาพครบทุกมิติ

ย้อนรอย "ลิปซิงค์" จากเรื่องจำเป็นสู่ดราม่าโลกแตก

แล้วไอ้เจ้า "ลิปซิงค์" มันมาจากไหน? ทำไมคนถึงมองว่ามันเป็นเรื่องแย่?

เอาจริงๆ นะ การลิปซิงค์มันเกิดมานานมากแล้ว เริ่มต้นในยุคที่รายการทีวีกำลังฮิตเลย อย่างรายการ American Bandstand ในอเมริกายุค 50s หรือ Top of the Pops ในอังกฤษ การให้ศิลปินทุกคนมาเล่นดนตรีสดในห้องส่งมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้งบเยอะมาก การเปิดเพลงแล้วให้ศิลปินขยับปากตาม (ลิปซิงค์) เลยกลายเป็นทางออกที่ง่ายและทำให้โชว์ดูเป๊ะเหมือนในแผ่นเสียง

มันกลายเป็นเรื่องปกติมากๆ ในวงการทีวี แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้การลิปซิงค์กลายเป็น "ผู้ร้าย" ก็คือดราม่าของวง Milli Vanilli ในยุค 80s ที่ความจริงแตกออกมาว่าสองหนุ่มสมาชิกวงไม่ได้ร้องเพลงในอัลบั้มเลยแม้แต่เพลงเดียว! นั่นไม่ใช่แค่การลิปซิงค์บนเวที แต่มันคือการหลอกลวงตัวตนทั้งหมด ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และตั้งแต่นั้นมา คำว่า "ลิปซิงค์" ก็ถูกตีตราว่าเป็นเรื่องโกหกไปโดยปริยาย

ตัวเลือกของศิลปินบนเวที: จะร้องสด, ใช้ Backing Track หรือจะลิปซิงค์?

พอมาถึงยุคปัจจุบัน ศิลปินมีทางเลือกในการจัดการเรื่องเสียงบนเวทีอยู่หลักๆ 3 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีเหตุผลของมัน:

* ร้องสด 100%: พลังมาเต็ม เสียงอาจมีเพี้ยนบ้างตามฟีลลิ่งและสภาพร่างกาย แต่มันคือความเรียล ความสดที่แลกใจคนดูได้ดีที่สุด เหมาะกับศิลปินสายพลังเสียงหรือแนวเพลงที่ไม่ต้องเต้นเยอะ

* ใช้ Backing Track (BT): นี่คือวิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน คือการร้องสดไปพร้อมกับเสียงที่อัดไว้ล่วงหน้า (ซึ่งอาจจะมีเสียงดนตรี เสียงคอรัส หรือแม้แต่เสียงร้องของตัวเองเบาๆ) เพื่อช่วยเสริมให้โชว์แน่นขึ้น เหมาะกับโชว์ที่มีท่าเต้นหนักๆ หรือมีองค์ประกอบซับซ้อน เพราะมันช่วยการันตีว่าต่อให้เหนื่อยหอบแค่ไหน เพลงก็จะไม่โบ๋

* ลิปซิงค์เต็มรูปแบบ (Lip Sync): มาจากคำว่า “Lip” (ริมฝีปาก) + “Synchronize” (ทำให้ตรงกัน) คือการขยับปากให้ตรงกับเสียงเพลงที่เปิดแบบเป๊ะๆ โดยไม่ได้ร้องจริงเลย หลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่ในบางสถานการณ์มันคือทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น การถ่ายทำรายการทีวีที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ หรือโชว์ที่ศิลปินต้องเต้นโหดๆ แบบ non-stop จนการร้องสดเป็นเรื่องแทบจะเป็นไปไม่ได้

แล้วทำไมเราถึงควรเข้าใจว่า "การลิปซิงค์" เป็นเรื่องปกติได้แล้ว?

มาถึงประเด็นสำคัญ... ถ้าคุณอยากฟังเสียงร้องที่เพอร์เฟกต์ทุกตัวโน้ตเหมือนที่อัดในสตูดิโอ... บอกตามตรงว่าการเปิด Apple Music หรือ YouTube Music ฟังที่บ้านอาจจะตอบโจทย์กว่า

เดี๋ยวก่อน! ไม่ได้จะกวนนะ แต่อยากให้ลองมองในมุมของ "การแสดง" จริงๆ

คอนเสิร์ตของศิลปินป๊อปสตาร์ระดับโลก หรือวง K-Pop ที่มีท่าเต้นโหดๆ มันคือ Visual Performance ครับ ศิลปินไม่ได้แค่ยืนร้องเพลง แต่เขาต้องวิ่งไปทั่วเวที เต้นสุดแรงเกิด เปลี่ยนเสื้อผ้าในไม่กี่วินาที มีปฏิสัมพันธ์กับอุปกรณ์ประกอบฉาก ไหนจะต้องมองกล้องอีก การทำทุกอย่างนี้พร้อมกับคุมลมหายใจให้ร้องเพลงได้เป๊ะๆ ตลอด 2-3 ชั่วโมงมันเป็นเรื่องที่เหนือมนุษย์มากๆ

การเลือกลิปซิงค์หรือใช้ Backing Track หนักๆ จึงไม่ใช่การโกง แต่เป็นการ "เลือก" ที่จะมอบพลังทั้งหมดไปกับการเต้น การแสดงออกทางสีหน้า และการเอนเตอร์เทนคนดู เพื่อให้ "ภาพรวม" ของโชว์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดต่างหาก

ความวุ่นวายหลังเวทีที่คนดูไม่เคยเห็น

คุณรู้ไหมว่าเบื้องหลังเวทีที่สวยงามมันโกลาหลขนาดไหน ศิลปินต้องใส่ in-ear monitor เพื่อฟังเสียงตัวเองและรับคำสั่งจากทีมงาน ในขณะที่ทีมโปรดักชันตะโกนผ่านไมค์ว่า “อีก 10 วิ พร็อพขึ้น!” หรือ “เวทีกำลังจะเลื่อน!” ไฟต้องเปลี่ยนพอดี เสียงต้องแม่น และศิลปินต้องหันมายิ้มให้กล้องในจังหวะเดียวกันเป๊ะๆ

ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแบบไม่มีโอกาสให้เทคสอง นี่คือเสน่ห์และความบ้าของการทำคอนเสิร์ต มันคือการทำงานเป็นทีมขั้นสุด ที่ทุกคนต้องซิงค์กันให้ได้

ถ้าคุณเคยไปคอนเสิร์ตแล้วรู้สึก “ว้าว” จนลืมไม่ลง นั่นแหละคือผลลัพธ์ของการวางแผนและความวุ่นวายทั้งหมดที่เล่ามา มันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คุณได้มีช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุด

ครั้งต่อไปที่คุณไปดูคอนเสิร์ต ลองมองให้กว้างกว่าแค่เสียงที่ได้ยิน ลองดูการเต้น แสงไฟบนเวที การแสดงออกของศิลปิน และพลังงานของคนดูรอบข้าง แล้วคุณจะเข้าใจว่า... คอนเสิร์ตคือศิลปะที่ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าแค่การร้องสดจริงๆ


FAQ เกี่ยวกับบทความ

Q: คอนเสิร์ตคืออะไรในมุมมองยุคปัจจุบัน?

A: คอนเสิร์ตปัจจุบันไม่ใช่แค่การร้องเพลงสด แต่เป็น Performance เต็มรูปแบบที่ผสมผสานเสียง, แสง, เวที, ท่าเต้น, เสื้อผ้า และพลังงานจากศิลปินเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมให้คนดู

Q: ลิปซิงค์หมายความว่าอะไร?

A: คำว่า “ลิปซิงค์” มาจาก “Lip” (ริมฝีปาก) และ “Synchronize” (ทำให้ตรงกัน) คือการขยับปากให้ตรงกับเสียงเพลงที่เปิด โดยศิลปินไม่ได้ร้องจริงในขณะนั้น

Q: ทำไมศิลปินถึงเลือกใช้ลิปซิงค์?

A: เพราะบางโชว์มีท่าเต้นหนักและองค์ประกอบซับซ้อนจนร้องสดตลอดไม่ไหว ลิปซิงค์จึงช่วยให้ศิลปินโฟกัสกับการแสดงภาพรวมให้สมบูรณ์และพลังงานเต็มที่

Q: การลิปซิงค์ถือว่าโกงคนดูหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นต้องเป็นการโกงเสมอไป หากใช้เพื่อรักษามาตรฐานของโชว์และทำให้ประสบการณ์ของผู้ชมออกมาดีที่สุด

Q: เบื้องหลังเวทีคอนเสิร์ตมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

A: หลังเวทีเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งการสื่อสารผ่าน in-ear monitor การเตรียมพร็อพ การเปลี่ยนไฟ และการประสานงานแบบวินาทีต่อวินาที ทุกอย่างต้องเป๊ะโดยไม่มีโอกาสเทคใหม่

Aam Anusorn Soisa-ngim

Aam Anusorn is an independent filmmaker and storyteller with a decade of experience in the industry. As the founder and CEO of Commetive By Aam, he has directed and produced several acclaimed films and series, including the popular "Till The World Ends" and "#2moons2." Known for his creative vision and determination, Aam prefers crafting original stories that push the boundaries of traditional genres, particularly in the BL and LGBTQ+ spaces. Despite the challenges and pressures of working in a competitive field, Aam’s passion for storytelling drives him to explore new ideas and bring unique narratives to life. His work has garnered recognition and support from prestigious platforms, including the Tokyo Gap Financial Market. Aam continues to inspire audiences with his innovative approach to filmmaking, always staying true to his belief in the power of original, heartfelt stories.

https://Commetivebyaam.com
Previous
Previous

เรียน สื่อมวลชน (และนักวิชาการ), ประเทศพินาศเมื่อไหร่...ก็อย่าลืมเอาเงินไปใช้ในนรกด้วยนะ

Next
Next

เปิดประวัติ “ตู้เย็น” Nguyễn Thị Bích Tuyên นักวอลเลย์หญิงเวียดนาม กับกระแสสรุปเป็นเพศไหนกันแน่?