ปัญหาของหนังไทย: เมื่อผู้สร้างคิดว่าคนดูโง่
ปัญหาของหนังไทยไม่ใช่แค่เรื่องทุน เรื่องตลาด หรือคนดูไม่สนับสนุน แต่คือ “ทัศนคติของผู้สร้าง” ที่ยังมองคนดูเป็นเด็กโง่ๆ ที่ต้องถูกสอนอยู่ตลอดเวลา หนังไทยจำนวนมากถูกทำขึ้นภายใต้ความกลัว ความไม่มั่นใจในคนดู และความมั่นใจเกินเหตุในตัวเอง
มันเลยออกมาเป็นงานที่พยายามยัดเยียดคำอธิบายทุกอย่างให้คนดูเข้าใจ ทั้งที่คนดูไม่ได้ขอให้ใครมาสอน ศิลปะไม่ใช่กระดานดำ และคนทำหนังก็ไม่ใช่ครูที่จะต้องอธิบายทุกความรู้สึกในภาพยนตร์ให้ชัดเจนราวกับกลัวคนดูจะไม่รู้เรื่อง บางทีสิ่งที่หนังไทยขาดไม่ใช่เทคนิคหรือทุนสร้าง แต่คือ “ความเคารพในคนดู” ผู้กำกับหลายคนลืมไปว่าการดูหนังคือการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การสอบปลายภาค คนดูไม่ได้อยากถูกยัดเยียด แต่แค่อยากรู้สึก อยากตีความ อยากเจ็บ อยากหัวเราะ อยากสะท้อนใจโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่าควรรู้สึกยังไง การที่หนังไทยส่วนใหญ่ยังเลือกจะพูดทุกอย่างออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าคนดูจะไม่เข้าใจ มันสะท้อนว่าเรายังมองคนดูต่ำกว่าที่เขาเป็น และที่แย่คือมันทำให้ความทรงจำของหนังแทบไม่เหลืออะไรเลย เพราะสิ่งที่เราจำได้จากหนังที่ดี ไม่ใช่คำอธิบาย แต่คือความรู้สึกที่มันยังติดอยู่หลังเครดิตจบ
ปัญหาหลักอีกอย่างคือ “บท” บทหนังไทยจำนวนมากขาดความฉลาด ขาดเหตุผล และขาดความเป็นมนุษย์ ตัวละครพูดในสิ่งที่ไม่มีใครพูดในชีวิตจริง ทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำในสถานการณ์จริง เหมือนทุกอย่างถูกเขียนจากห้องประชุมที่ไม่เคยฟังเสียงคนดูจริงๆ สังคม การเมือง หรือประเด็นสังคมก็ถูกนำมาใช้แบบปลอดภัยสุดขั้ว หนังอ้างตัวเองว่าแหลมคม กล้าชน กล้าพูด แต่สุดท้ายก็จบด้วยการสอนให้เราเป็นคนดี อยู่พอเพียง และให้อภัยคนเลว ทั้งที่ตลอดเรื่องพยายามจะปฏิวัติระบบ นี่มันความย้อนแย้งที่น่าขัน หนังไทยจำนวนมากพยายามจะปลุกให้คนตื่น แต่สุดท้ายก็กล่อมให้กลับไปนอนในกรอบเดิม พูดให้สวยยังไงก็หนีไม่พ้นความขี้ขลาดทางความคิด เพราะในประเทศที่การพูดความจริงอาจทำให้ตกงาน คนทำหนังก็เลือกจะอยู่รอดมากกว่าพูดสิ่งที่ควรพูด
การแสดงก็ไม่พ้นปัญหาเดียวกัน มันมากเกินไป เสียงดังเกินไป น้ำตาเยอะเกินไป ทุกอย่างดูตั้งใจเกินไปเหมือนกลัวคนดูจะไม่รู้ว่า “นี่คือการแสดง” ทั้งที่สิ่งที่ทำให้การแสดงดีไม่ใช่การโชว์ แต่คือการทำให้คนดูเชื่อโดยไม่ต้องอธิบายเลยสักคำ แต่หนังไทยกลับชอบยัดความดราม่าใส่ปากนักแสดงเหมือนต้องตะโกนให้ฟ้ารู้ว่ากูเล่นอยู่ ความจริงคือคนดูเขารู้ทัน เขาโต เขาดูหนังทั่วโลก เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมานั่งร้องไห้ใส่หน้าเพื่อพิสูจน์ว่ามันคือ “การแสดงจริงจัง”
แล้วก็ยังมีระบบการเซ็นเซอร์ที่งี่เง่าเหมือนอยู่ในยุคก่อนสงครามโลก ฉากสำคัญถูกตัดออกเพราะกลัวจะกระทบความรู้สึกใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูง มันทำลายศิลปะ ทำลายจังหวะ ทำลายเจตนาของคนทำหนัง แล้วสุดท้ายก็ทำให้หนังไทยดูปลอดภัย ปราศจากความจริง และไร้เขี้ยวเล็บเหมือนเดิม
สำหรับคนทำหนังอิสระ สถานการณ์ก็ยิ่งน่าสมเพช เราส่งหนังไปประกวดเพื่อขอทุน ไม่มีใครเปิดดู แต่สุดท้ายก็ประกาศผลว่า “ไม่ผ่าน” แล้วจะไม่ผ่านได้ยังไงในเมื่อไม่มีใครดูตั้งแต่แรก ความโปร่งใสแทบไม่เหลือ เหมือนระบบนี้ถูกสร้างมาเพื่อคนในกลุ่มเดิมๆ ที่จับมือกันอยู่ในวงการเล็กๆ แล้วเรียกตัวเองว่า “ผู้เชี่ยวชาญ” ทั้งที่ไม่เคยสร้างงานที่ประสบความสำเร็จจริงในตลาด
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลูกฝังให้เรา “เคารพผู้ใหญ่” แต่ในหลายกรณีผู้ใหญ่ในวงการหนังไทยไม่ได้มีความสามารถ มีแค่พาวเวอร์และเงิน ซึ่งไม่ใช่ความสำเร็จ มันคืออำนาจที่กลัวการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ที่พยายามจะทำอะไรต่างออกไป มักถูกมองว่า “ไม่ให้เกียรติ” ทั้งที่จริงๆ แค่พูดในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูด ระบบที่เอาแต่ให้รางวัลกับเพื่อนร่วมโต๊ะ และเหยียบคนที่พูดความจริง มันไม่มีวันเติบโตไปไหนได้หรอก เพราะสุดท้ายหนังไทยไม่ได้ล้มเหลวเพราะคนดูไม่สนับสนุน แต่มันล้มเหลวเพราะคนในวงการไม่เชื่อว่าคนดูฉลาดพอจะเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อน ทั้งที่ความจริงคือคนดูไปไกลกว่าที่พวกคุณคิดไปมากแล้ว