สมองและหัวใจของคุณมีค่าแค่ไหน? ทวงคืนสิทธิ์และอนาคตที่ศิลปินไทยไม่เคยได้รับ
เคยถามตัวเองไหมว่าเรื่องราวที่คุณเขียน, ภาพที่คุณกำกับ, หรือบทบาทที่คุณแสดง... มีมูลค่าเท่าไหร่?
แน่นอนว่าคุณได้รับค่าจ้าง แต่แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เมื่อผลงานของคุณถูกฉายซ้ำทางทีวี, โลดแล่นบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก, หรือถูกขายลิขสิทธิ์ไปฉายในอีกซีกโลกหนึ่ง... คุณเคยได้อะไรจากความสำเร็จเหล่านั้นอีกไหม?
สำหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่ คำตอบคือ "ไม่เคย"
นี่ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของ "โครงสร้าง" ที่ถึงเวลาต้องถูกท้าทาย เราไม่ได้กำลังเรียกร้องความมั่งคั่ง แต่กำลังทวงถามถึง ความเป็นธรรม ต่อคุณค่าที่มาจากสมองและหัวใจของเราเอง
มาตรฐานโลก: เมื่อความคิดสร้างสรรค์คือทรัพย์สินระยะยาว
ในอุตสาหกรรมบันเทิงที่พัฒนาแล้ว ศิลปินไม่ใช่แค่ "ผู้รับจ้าง" แต่คือ "ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย" ในความสำเร็จของผลงานตลอดชีวิตของมัน กลไกสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นคือ Residuals หรือค่าตอบแทนเมื่อผลงานถูกนำไปใช้ซ้ำ
สหรัฐอเมริกา: พลังแห่งการรวมตัว
สิ่งที่ทำให้ศิลปินในฮอลลีวูดมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากการต่อสู้ของ สมาคมวิชาชีพ (Unions) ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง:
SAG-AFTRA (สมาคมนักแสดง)
WGA (สมาคมนักเขียนบท)
DGA (สมาคมผู้กำกับ)
สมาคมเหล่านี้ใช้พลังการต่อรองร่วมกันเพื่อสร้าง ข้อตกลง (Collective Bargaining Agreements) กับสตูดิโอผู้ผลิต บังคับให้ต้องจ่ายค่า Residuals ทุกครั้งที่มีการฉายซ้ำ, ขายสิทธิ์, หรือเผยแพร่ผ่านช่องทางใหม่ๆ
อ้างอิง: What are Residuals? - SAG-AFTRA
กรณีศึกษาที่ทรงพลังที่สุด: Friends ซีรีส์เรื่องนี้จบไปแล้วกว่า 20 ปี แต่ยังคงเป็นเครื่องจักรผลิตเงินมหาศาล
รายได้ของสตูดิโอ: Warner Bros. ยังคงมีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์และฉายซ้ำของ Friends ทั่วโลก เฉลี่ยปีละเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้ของนักแสดง: ภายใต้ข้อตกลงของ SAG-AFTRA นักแสดงหลักทั้ง 6 คน ยังคงได้รับส่วนแบ่งจากรายได้นี้ (Residuals) คนละประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 700 ล้านบาท ทุกปี
อ้างอิง: How the ‘Friends’ cast makes $20 million a year each - MarketWatch
นี่คือข้อพิสูจน์ว่าผลงานสร้างสรรค์คือทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง และผู้สร้างสรรค์สมควรได้รับส่วนแบ่งในนั้น
ความจริงในไทย: กับดัก "สัญญาจ้างทำของ" และกำแพงทัศนคติ
แล้วทำไมในประเทศไทยถึงไม่เป็นเช่นนั้น? คำตอบซ่อนอยู่ในสัญญาที่คุณเซ็น และทัศนคติของผู้มีอำนาจที่ฝังรากลึก ระบบของไทยส่วนใหญ่เป็นแบบ "สัญญาจ้างทำของ" ซึ่งมีผลทางกฎหมายที่น่ากลัวสำหรับศิลปิน ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
มาตรา ๑๐: "งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาในฐานะเป็นผู้รับจ้างของบุคคลอื่น ให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น"
อ้างอิง: พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ - กรมทรัพย์สินทางปัญญา
"เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น" คือช่องว่างที่แทบไม่เคยถูกใช้งานจริง เพราะอำนาจต่อรองทั้งหมดอยู่ในมือผู้ว่าจ้าง
ในฐานะผู้สร้างคนหนึ่ง ผมเองเคยเผชิญกับกำแพงนี้มาโดยตรง ผมเคยนำเสนอแนวคิดการแบ่งรายได้ระยะยาว หรือระบบที่คล้ายกับ Residuals นี้ ให้กับผู้ใหญ่บางท่านในวงการภาพยนตร์ไทย ด้วยความหวังที่จะสร้างอนาคตที่มั่นคงขึ้นให้กับคนทำงาน
แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่แค่การปฏิเสธ แต่เป็นคำกล่าวหาว่าผมกำลังจะ "ทำลายระบบของวงการ"
แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยที่สุดอย่างการพยายามสร้างมาตรฐานพื้นฐานเพื่อดูแลทีมงาน เช่น การจ่ายเงิน "ค่าซ้อม" ให้นักแสดงเพียง 500 บาท เพื่อให้พวกเขามีค่าเดินทางและค่าอาหารในวันที่สละเวลามาทำงานให้เรา กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงว่า "กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ที่จะทำให้วงการบันเทิงไทยเสื่อมเสีย"
เหตุการณ์เหล่านี้คือภาพสะท้อนของโครงสร้างที่กดทับความคิดสร้างสรรค์ มันบอกเราว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "ไม่มีเงิน" แต่อยู่ที่ "ทัศนคติ" ของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม ที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของสมองและหัวใจคนทำงานอย่างแท้จริง และมองว่าการเรียกร้องความเป็นธรรม คือการทำลายระบบที่เอื้อประโยชน์ให้พวกเขามาตลอด
ทวงคืนสิทธิ์ที่พึงมี
ถึงเวลาเปลี่ยนมุมมองใหม่ เราไม่ใช่แค่ "แรงงาน" ในกองถ่าย แต่เราคือ "ต้นกำเนิด" ของทุกสิ่ง
ถ้าไม่มีคนเขียนบท จะมีเรื่องราวให้เล่าหรือ?
ถ้าไม่มีผู้กำกับ จะมีภาพและวิสัยทัศน์ให้ปรากฏบนจอหรือ?
ถ้าไม่มีนักแสดง จะมีชีวิตและจิตวิญญาณในตัวละครหรือ?
ตึกออฟฟิศไม่ได้สร้างหนัง กล้องไม่ได้สร้างซีรีส์ มนุษย์ ต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา หลักการพื้นฐานที่สุดของกฎหมายลิขสิทธิ์สากลภายใต้ อนุสัญญาเบิร์น (Berne Convention) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก ก็ระบุชัดเจนว่า ลิขสิทธิ์เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติกับผู้สร้างสรรค์ทันทีที่ผลงานถูกสร้างขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน
อ้างอิง: Summary of the Berne Convention for the Protection of Literary and Artistic Works (1886) - WIPO
สิทธิ์นั้นเป็นของเราโดยกำเนิด แต่เรากลับยอมเซ็นโอนมันไปเพื่อแลกกับค่าจ้างเพียงครั้งเดียว
เราจะเริ่มต้นทวงสิทธิ์คืนได้อย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเรา ในฐานะศิลปินและผู้สร้างสรรค์:
อ่านทุกตัวอักษรในสัญญา: อย่าเซ็นสัญญาเพียงเพราะ "เขาทำกันแบบนี้" ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "สัญญาจ้างทำของ" (โอนลิขสิทธิ์) กับ "สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ (Licensing)" (เรายังเป็นเจ้าของ แต่ให้สิทธิ์เขาไปใช้)
เจรจาอย่างกล้าหาญ: แม้วันนี้อำนาจต่อรองอาจจะยังน้อย แต่จงเริ่มถามหาในสิ่งที่ไม่เคยมี เช่น "ขอส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากรายได้สตรีมมิ่ง" หรือ "ขอสิทธิ์ในการนำผลงานไปส่งประกวดในนามผู้กำกับ" การถามคือการสร้างบรรทัดฐานใหม่
สร้างและเป็นเจ้าของ IP ของคุณเอง: เส้นทางที่คุณ Aam กำลังทำอยู่คือคำตอบที่ดีที่สุด สร้างผลงานบนแพลตฟอร์มของคุณเอง (YouTube, หนังสือ, เว็บไซต์) ที่ซึ่งคุณคือเจ้าของลิขสิทธิ์ 100% นี่คือการสร้างระบบ Residuals ของคุณเอง
รวมตัวและส่งเสียง: พลังของศิลปินในต่างประเทศมาจาก "การรวมตัว" ถึงเวลาที่ศิลปินไทยต้องเริ่มพูดคุยกันอย่างเปิดเผย แบ่งปันความรู้เรื่องสัญญา และสร้างเครือข่ายที่แข็งแรงเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในอนาคต
อย่าปล่อยให้ใครมาบอกว่าความคิดสร้างสรรค์ของคุณมีวันหมดอายุ มูลค่าของมันควรจะคงอยู่ ตราบเท่าที่ผลงานของคุณยังคงสร้างความสุข สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างรายได้ให้กับใครสักคน