ดนตรี, ดราม่า และลิขสิทธิ์: เส้นบางๆ ระหว่าง “ก๊อปปี้” (Copy) กับ “แรงบันดาลใจ” (Inspiration)
ในวงการเพลงระดับโลก ไม่มีอะไรจะจุดชนวนดราม่าได้เร็วไปกว่าคำว่า "ก๊อปเพลง" อีกแล้ว
เรามักจะได้ยินข่าวทำนองนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเบอร์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Taylor Swift ที่ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องลิขสิทธิ์เนื้อเพลงอยู่บ่อยครั้ง (เช่นกรณี Shake It Off) ที่ทำเอาแฟนคลับลุ้นกันตัวโก่ง หรือเคสตำนานระดับตัวแม่ที่โลกไม่ลืม อย่างตอนที่ Lady Gaga ปล่อยเพลง Born This Way ออกมา แล้วทำนองมันดันไปคลับคล้ายคลับคลากับ Express Yourself ของราชินีเพลงป๊อป Madonna เข้าอย่างจัง
เรื่องนี้เดือดถึงขนาดที่มาดอนน่าออกมาให้สัมภาษณ์กลางรายการทีวีด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่เชือดเฉือนว่า "Reductive" (มันดูเป็นการลดทอนคุณค่า) ซึ่งกลายเป็นมีมตำนานจนถึงทุกวันนี้
คำถามที่น่าสนใจสำหรับคนทำคอนเทนต์และคนเสพงานศิลป์อย่างเราคือ... เส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน? อะไรคือการขโมยผลงาน และอะไรคือการได้รับอิทธิพลทางดนตรี?
Copy vs. Inspiration: มันต่างกันยังไง?
ในทางกฎหมายลิขสิทธิ์สากล (Copyright Law) การตัดสินว่าเพลงหนึ่งก๊อปปี้อีกเพลงหนึ่งหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่ความรู้สึกว่า "ฟังดูเหมือนกันจัง" แต่มันต้องพิสูจน์ได้ในองค์ประกอบหลักๆ คือ:
1. Melody (ท่วงทำนอง): โน้ตเพลงเรียงกันเหมือนกันเป๊ะหรือไม่
2. Lyrics (เนื้อร้อง): มีการลอกคำหรือประโยคสำคัญมาหรือไม่
3. Arrangement (การเรียบเรียง): โครงสร้างดนตรีเจาะจงเกินไปไหม
ส่วนคำว่า "แรงบันดาลใจ" (Inspiration) หรือ Vibe (กลิ่นอาย) มักจะถูกยกมาใช้เมื่อเพลงมีจังหวะ (Groove) หรือสไตล์ (Genre) ที่คล้ายกัน ซึ่งในอดีตสิ่งเหล่านี้ถือเป็น "ของสาธารณะ" ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่ปัจจุบันเส้นแบ่งนี้เริ่มเบลอขึ้นเรื่อยๆ มาดูตัวอย่างคดีจริงกัน
1. คดีที่ "แพ้" : เมื่อ Vibe กลายเป็นลิขสิทธิ์
คู่กรณี: Blurred Lines (Robin Thicke ft. Pharrell Williams) vs. Got to Give It Up (Marvin Gaye)
นี่คือคดีประวัติศาสตร์ที่สั่นสะเทือนวงการเพลงที่สุด เมื่อทายาทของ Marvin Gaye ฟ้องว่าเพลง Blurred Lines ไปก๊อปปี้เพลงคุณพ่อมา
• ข้อต่อสู้: ฝั่ง Robin Thicke อ้างว่าพวกเขาแค่ได้ "แรงบันดาลใจ" จากซาวด์ยุค 70s และบรรยากาศของเพลงเท่านั้น โน้ตเพลงไม่ได้เหมือนกัน
• ผลตัดสิน: ศาลตัดสินให้แพ้คดี และต้องชดใช้เงินมหาศาล (กว่า 5 ล้านเหรียญฯ)
• บทเรียน: คดีนี้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่น่ากลัวว่า แม้แต่ "สไตล์" หรือ "ความรู้สึกของเพลง" (Feel/Groove) ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ถ้ามันเหมือนต้นฉบับจนแยกไม่ออก
2. คดีที่ "ชนะ" : คอร์ดเพลงเป็นของทุกคน
คู่กรณี: Thinking Out Loud (Ed Sheeran) vs. Let's Get It On (Marvin Gaye)
เจ้าพ่อเพลงรักอย่าง Ed Sheeran ก็โดนทายาท Marvin Gaye เจ้าเดิมฟ้องเช่นกัน โดยอ้างว่าทางเดินคอร์ด (Chord Progression) และจังหวะมันเหมือนกันเป๊ะ
• ข้อต่อสู้: Ed Sheeran ถึงขั้นแบกกีตาร์ไปดีดโชว์กลางศาล เพื่อพิสูจน์ให้ลูกขุนเห็นว่า "ทางเดินคอร์ดแบบนี้ มันมีอยู่ในเพลงป๊อปเป็นร้อยเป็นพันเพลง" มันคือตัวต่อพื้นฐานที่นักดนตรีทุกคนใช้กัน ไม่ใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง
• ผลตัดสิน: Ed Sheeran ชนะคดี
• บทเรียน: ศาลมองว่าองค์ประกอบพื้นฐานทางดนตรี (Building Blocks) อย่างคอร์ดเพลง เป็นสิ่งที่ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ เพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยคำว่าลิขสิทธิ์
บทสรุป: อย่าเพิ่งรีบตัดสินที่หน้าฉาก
ท้ายที่สุดแล้ว เวลาเราเห็นข่าวศิลปินคนโปรดโดนฟ้องหรือโดนชาวเน็ตจับผิดว่าก๊อปเพลง อยากชวนให้มองลึกไปกว่าแค่ตัวศิลปินที่ถือไมค์ร้องเพลง เพราะในระบบอุตสาหกรรมดนตรีระดับโลก เพลงหนึ่งเพลงอาจจะผ่านมือ Songwriter (นักแต่งเพลง), Composer (นักแต่งทำนอง) และ Producer (โปรดิวเซอร์) หลายสิบชีวิต
บางทีศิลปินที่เราเห็นหน้าฉาก อาจจะไม่ได้มีเจตนาที่จะก๊อปปี้ใครเลยก็ได้ เขาอาจจะแค่ได้รับเดโมมา ร้องตามบรีฟ หรือบางทีคนแต่งเพลงเบื้องหลังนั่นแหละที่อาจจะ "บังเอิญ" ไปหยิบยืมทำนองมาโดยไม่รู้ตัว การจะตำหนิติเตียนศิลปินอย่างเดียวมันก็อาจจะไม่แฟร์เท่าไหร่ ให้ดูที่เครดิตว่าใครเป็นคนแต่ง ใครเป็นคนทำดนตรีจะดีกว่า
แต่ก็นั่นแหละ... สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับว่า "ใจ" ของคนฟังอย่างเราจะมีความอคติ หรือจะตีความงานศิลปะชิ้นนั้นยังไง ดนตรีมันเป็นเรื่องของความรู้สึกพูดยาก ไม่ว่านะ แค่บอกเฉยๆ